วันจันทร์ที่ 30 เมษายน พ.ศ. 2555

เล่นหุ้นให้รวย

กำหนดการสอนมือใหม่หัดเล่นหุ้นให้รวย เริ่มต้นลงทุนอย่างไรจึงจะไม่เสี่ยง เลี่ยงขาดทุน ทวีคูณกำไร


สอนมือใหม่หัดเล่นหุ้นให้รวย แนะนำการเล่นหุ้นอย่างถูกวิธีโดยมืออาชีพ
*ไม่จำเป็นต้องมีเงินแสนเงินล้านก็เริ่มเล่นหุ้นได้
*แต่!อย่าเสี่ยงเข้ามาลองผิดลองถูกในตลาดหุ้น
*อย่าเป็นคนเสียน้อยเสียยากเสียมากเสียง่าย สุดท้ายเสียหายหลายแสน
*ลงทุน-เล่นหุ้นก็เหมือนทุกอย่างในโลกนี้ต้องเรียนรู้ก่อน
*สอนทั้งภาคทฤษฎี และภาคปฏิบัติ วันเดียบจบ
*สอนตั้งแต่ไม่รู้เรื่องจนลงทุนเป็น
เรียนรู้ก่อนลงสู่สนามจริง ต้องทำอย่างไรในการเริ่มต้นเล่นหุ้น
*สอนในห้องค้าจำลอง ใช้ภาษาง่ายๆเข้าใจเร็ว
*สอนตั้งแต่เปิดบัญชีซื้อขายเบื้องต้น ไปจนเริ่มต้นการซื้อขายให้ถูกวิธี
*สอนคัดหุ้นเด่นเล่นแล้วรวยด้วยตัวท่านเอง
*สอนจังหวะเข้า-ออกทำกำไรงาม พร้อมตัวอย่างจริง
*เหมาะกับทั้งมือใหม่ หรือผู้ลงทุนที่ไม่รู้วิธีที่ถูกต้อง(เลือกหุ้นเด่นไม่เป็น ซื้อขายผิดจังหวะตลอด ติดหุ้นประจำ)
*เหมาะกับผู้เริ่มต้นวัยเยาวชน ไปจนถึงคนเกษียณอายุ
*ด้วยค่าเรียนคุ้มค่าที่สุดเพียงท่านละ3,000บาท หรือครอบครัวละ5,000บาท
*สอนโดย อ.ณัฐวุฒิ รุ่งวงษ์ ผู้ดำเนินรายการเพื่อนนักลงทุน TRUE VISION 7 และประธานบริษัทหลักทรัพย์ที่ปรึกษาการลงทุน ต้นธารคอร์ปอเรชั่น จำกัด (http://www.tontancorp.com/)


thailworld.blogspot.com/2010/08/blog-post_25.html

วันอังคารที่ 3 เมษายน พ.ศ. 2555

เส้นทางนักลงทุนรุ่นใหม่

บทบาทของผู้ถือหุ้นยุคใหม่

บทบาทของผู้ถือหุ้นยุคใหม่

      บทบาทของผู้ถือหุ้นยุคใหม่ ไม่ได้มีเพียงแค่การรอรับเงินปันผลจากบริษัทเท่านั้น แต่ผู้ถือหุ้นใน
ฐานะเป็น “เจ้าของร่วม” ของบริษัทควรมีส่วนร่วมในการบริหารจัดการบริษัทให้ดำเนินกิจการไปได้
อย่างราบรื่นเพื่อปกป้องประโยชน์ของบริษัทและของตนเองด้วย  
      บทบาทในการมีส่วนร่วมในการบริหารบริษัท เช่น การเลือกบุคคลที่มีความรู้ความสามารถเข้าไป
ทำหน้าที่เป็นคณะกรรมการบริษัทแทนตัวเรา การร่วมกำหนดนโยบายเกี่ยวกับการดำเนินงานต่าง ๆ ของ
บริษัท รวมถึงการตรวจสอบการปฏิบัติหน้าที่ของคณะกรรมการที่เป็นตัวแทนเหล่านั้น ว่าได้ปฏิบัติหน้าที่
ด้วยความระมัดระวังและคำนึงถึงผลประโยชน์สูงสุดของผู้ถือหุ้นและบริษัทแล้วหรือไม่ ซึ่งช่องทางที่ท่าน
จะเข้าไปมีส่วนร่วมในการบริหารบริษัทเพื่อรักษาผลประโยชน์ของตนเองในฐานะเจ้าของเงินลงทุน คือ
การไปใช้สิทธิออกเสียงลงมติในวาระต่าง ๆ ที่สำคัญผ่านการประชุมผู้ถือหุ้นนั่นเอง  
       ดังนั้น หากผู้ถือหุ้นได้ตระหนักถึงบทบาทของตนเองและพร้อมที่จะปฏิบัติหน้าที่ในฐานะผู้ถือหุ้นที่ดี
แล้ว ก็จะเป็นแรงผลักดันให้กรรมการและผู้บริหารของบริษัทมีความระมัดระวังในการปฏิบัติหน้าที่มากขึ้น
ซึ่งจะช่วยส่งเสริมให้เกิด “การกำกับดูแลกิจการที่ดี” หรือ “good corporate governance”
อีกทางหนึ่งด้วย 
      หลักการของ good corporate governance : ผู้ถือหุ้นมอบหมายให้คณะกรรมการบริษัทเข้ามา
บริหารจัดการบริษัทแทนตนเอง
      คณะกรรมการบริษัทจะทำหน้าที่กำหนดนโยบายและมอบหมายให้ฝ่ายจัดการหรือผู้บริหารนำไป
ปฏิบัติต่อ และผู้ถือหุ้นจะติดตามดูแลการทำงานของคณะกรรมการบริษัทและฝ่ายจัดการว่าได้ทำหน้าที่
อย่างเต็มที่ เพื่อประโยชน์ของผู้ถือหุ้นและตัวบริษัทหรือไม่ ผ่านการลงมติในเรื่องต่าง ๆ ของบริษัทใน
การประชุมผู้ถือหุ้น
 
 



 





Chris Delivery : ระยะเวลาลงทุนในหุ้นกู้

หุ้นกับหุ้นกู้ต่างกันอย่างไร

หุ้นกับหุ้นกู้ต่างกันอย่างไร


     ถึงตอนนี้ท่านได้รู้จักกับชื่อเรียกต่างๆของตราสารหนี้แล้ว ไม่ว่าจะเป็น พันธบัตร  หุ้นกู้  แต่นักลงทุนหน้าใหม่ก็มักจะสับสนว่าแล้วหุ้นกู้มีความแตกต่างจากหุ้นอย่างไร เพราะชื่อก็ฟังดูคล้ายๆกัน  อย่างที่ทราบแล้วว่า หุ้นกู้ คือตราสารหนี้   ผู้ถือตราสารหนี้จะมีฐานะเป็น “เจ้าหนี้”  ของผู้ออก   ส่วนหุ้นนั้นเป็นตราสารทุน  ผู้ถือหุ้นถือเป็น “เจ้าของ” บริษัท  ความแตกต่างที่ควรจะกล่าวในที่นี้ก็คือความแตกต่างระหว่าง “ตราสารหนี้” และ “ตราสารทุน”  นั่นเอง
    “ตราสารหนี้” นั้น เป็นตราสารทางการเงินที่แสดงถึงความเป็นหนี้ระหว่างผู้ออกตราสารและผู้ถือตราสาร โดยผู้ถือตราสารหนี้จะได้รับผลตอบแทนในรูปของดอกเบี้ย ที่แน่นอนในระหว่างอายุของตราสารตามเงื่อนไขที่ได้ระบุไว้    ทั้งนี้   ผู้ลงทุนก็อาจต้องคำนึงถึงความเสี่ยงในด้านความน่าเชื่อถือของผู้ออกตราสารหนี้อยู่เหมือนกัน ว่ามีความเป็นได้ที่จะผิดนัดชำระดอกเบี้ยหรือเงินต้นหรือไม่
ส่วน “ตราสารทุน” นั้น   ไม่มีการกำหนดอัตราผลตอบแทนและระยะเวลาของการลงทุนที่แน่นอน การจ่ายผลตอบแทนอยู่ในรูปของเงินปันผล ซึ่งจะจ่ายมาก จ่ายน้อยหรือไม่จ่าย ก็ขึ้นกับผลประกอบการของบริษัท ผู้ลงทุนจึงต้องติดตามและคาดการณ์การเปลี่ยนแปลงมูลค่าและผลประกอบการของบริษัทที่ตนลงทุน  
   ความแตกต่างที่สำคัญอีกอย่างระหว่างตราสารหนี้กับตราสารทุน  ก็คือ ในกรณีที่ผู้ออกตราสารไม่สามารถดำเนินกิจการต่อไปและอยู่ในสภาพล้มละลาย   สิทธิการเรียกร้องในสินทรัพย์ของบริษัทผู้ออกตราสารจะแตกต่างกัน โดยผู้ถือตราสารหนี้จะมีสถานะเป็นเจ้าหนี้และจะมีสิทธิเรียกร้องได้ก่อนผู้ถือตราสารทุนที่มีสถานะเป็นผู้ถือหุ้น   ไม่ว่าจะเป็นหุ้นสามัญ หรือหุ้นบุริมสิทธิ






What is P/E (Price-Earnings) Ratio?

ควรซื้อหุ้น P/E 30 ไหม ???

ควรซื้อหุ้น P/E 30 ไหม ???




       ในช่วงเวลาที่ผมเขียนบทความนี้ SET INDEX อยู่ที่ประมาณ 1,200 จุด หรือเป็นจุดสูงสุดในรอบ 16 ปีซึ่งสถานการณ์นี้น่าจะบ่งบอกถึงความมั่นใจของนักลงทุนทั้งในและต่างประเทศที่มองว่าสภาพเศรษฐกิจไทยจะเจริญก้าวหน้าต่อไปในอนาคตอันใกล้นี้แต่เมื่อเรามองเจาะลึกลงไปในหุ้นรายตัวแล้วจะพบว่ามีหุ้นบางกลุ่มที่ปรับตัวมากขึ้นเป็นพิเศษ บางกลุ่มปรับตัวมากขึ้นธรรมดาตามสภาพตลาดและมีหุ้นบางตัวที่ไม่ได้ปรับตัวเพิ่มขึ้นเลยนับตั้งแต่หลังน้ำท่วมเป็นต้นมาทำให้เมื่อเราดูค่า P/E ตัววัดมูลค่าหุ้นที่นักลงทุนส่วนใหญ่ทั่วไปใช้เราจะพบหุ้นต่างๆมีค่า P/E แตกต่างกันมาก ตั้งแต่ไม่ถึง 10เท่า ไปจนถึง 40 เท่า อะไรที่เป็นสาเหตุทำให้นักลงทุนยอมซื้อขายกันในช่วงP/E ต่างกันมากถึงขนาดนี้
โดยทั่วไปแล้วสินค้าที่ดีมีคุณภาพนั้นจะตามมาด้วยการกำหนดราคาสินค้าจากผู้ขายในระดับที่แพง เสมอ ซึ่งไม่ได้ต่างอะไรจากราคาหุ้นถ้าหุ้นตัวนั้นมีธุรกิจที่ดีก็อาจจะทำให้ซื้อขายกันในค่า P/E ที่แพง และสมัยปัจจุบันนักลงทุนมีความคิดที่ฉลาดมากขึ้นกว่าสมัยก่อนทำให้ตลาดรู้ว่าอะไรคือ ของดีและอะไรคือ ของเน่าจึงทำให้เกิดความแตกต่างกันอย่างมากของระดับP/E ในตลาด พอจะสรุปสาเหตุที่เป็นไปได้ที่นักลงทุนจะยอมซื้อขายหุ้นในค่าP/E ที่แพงดังนี้

1.ลักษณะธุรกิจของบริษัทนั้นมีรายได้ที่ความแน่นอนสูงไม่พึ่งพาลูกค้ารายใหญ่เพียงไม่กี่รายและราคาขายสามารถปรับเพิ่มขึ้นได้ตามต้นทุนที่สูงขึ้น ซึ่งจะส่งผลกำไรของบริษัทมีความสม่ำเสมอต่อเนื่องไม่ผันผวน ไม่เป็นวัฎจักร ลักษณะธุรกิจประเภทนี้ได้แก่ ธุรกิจค้าปลีก โรงพยาบาล กลุ่มสื่อสารหรือ กลุ่มสินค้าอุปโภคบริโภค ด้วยเหตุผลหลักคือไม่ว่าเกิดอะไรขึ้นกับภาวะเศรษฐกิจคนทั่วไปก็คงจำเป็นต้องกินต้องใช้ในสินค้าเหล่านี้เป็นอันดับแรก

2.บริษัทนั้นเป็นบริษัทที่นักลงทุนคาดหวังว่าจะมีอัตราการเติบโตสูงเพราะเมื่อในอนาคตกำไรสูงขึ้น ย่อมทำให้นักลงทุนยอมจ่ายเงินในราคาที่แพงขึ้นกว่าเดิมจากปกติและถ้าบริษัทเหล่านั้นอยู่ในเทรนด์ที่มีความน่าจะเป็นสูงในการเติบโตหรือเรียกได้ว่าไม่ต้องลุ้น ตลาดก็จะยอมให้ P/E กับบริษัทในค่าที่สูงมากอย่างไม่น่าเชื่อ

3.บริษัทนั้นเป็นบริษัทที่มีขนาดใหญ่เพราะกองทุนรวมขนาดใหญ่นั้นจะมีกฎระเบียบการลงทุนให้ลงทุนในบริษัทที่มีขนาดใหญ่เท่านั้นและถึงไม่มีกฎระเบียบเหล่านั้นผมคิดว่ากองทุนเหล่านั้นก็จะไม่ลงทุนในบริษัทขนาดเล็กอยู่ดีเพราะแม้ว่าบริษัทขนาดเล็กจะมีโอกาสให้ผลตอบแทนสูง ถึงจะลงทุนซื้อหุ้นทั้งหมดของบริษัทขนาดเล็กมูลค่าของมันก็จะเป็นสัดส่วนน้อยมากเมื่อเทียบกับขนาดใหญ่มากของกองทุนกองทุนจึงคุ้มค่ากว่าที่จะใช้เวลาไปวิเคราะห์ติดตามบริษัทขนาดใหญ่ จึงเป็นผลทำให้เม็ดเงินที่จะลงทุนในบริษัทขนาดใหญ่จะมากกว่าในบริษัทขนาดเล็ก

4.การซื้อขายหุ้นของบริษัทนั้นมีสภาพคล่องที่ดีกล่าวคือเมื่อเราซื้อหุ้นเหล่านั้นมาแล้วเราสามารถมั่นใจได้ว่าจะขายหุ้นนั้นต่อให้นักลงทุนผู้อื่นได้เรื่องนี้เป็นข้อจำกัดในกฎระเบียบการลงทุนของกองทุนขนาดใหญ่เช่นกันและนักลงทุนทั่วไปก็คงจะไม่ค่อยชอบนักกับการซื้อหุ้นที่ไม่มีสภาพคล่องแต่สำหรับผมแล้ว ผมคิดว่าถ้าเรามั่นใจว่าการซื้อบริษัทเหล่านี้จะเป็นการลงทุนในระยะยาวมากประเด็นนี้ก็คงไม่สำคัญเท่าไหร่ เพราะเราไม่ได้ตั้งใจจะขายให้กับผู้อื่นอยู่แล้วเพียงแต่เราต้องทำใจว่าในอนาคต P/E ก็คงต้องต่ำอย่างนี้ไปตลอด เพราะตลาดมักจะให้ P/E น้อยเสมอกับหุ้นที่ไม่ค่อยมีสภาพคล่อง

5.หุ้นเหล่านั้นเป็นที่นิยมของตลาดด้วยปัจจัยอื่นๆถึงแม้ว่าบริษัทเหล่านั้นไม่ได้มีความแน่นอนของรายได้ หรือมีขนาดเล็กก็สามารถซื้อขายกันที่ P/Eสูงได้ถ้าหุ้นเหล่านั้นเป็นที่นิยมของตลาดในเวลานั้นแต่ผมคิดว่าข้อนี้เป็นข้อที่อันตรายและต้องระวังมากที่สุดในการซื้อหุ้นที่มี P/Eสูง เพราะเราไม่รู้ว่าหุ้นนั้นจะคงความนิยมต่อไปอีกนานเท่าไร



ประสบการณ์เจ๊งหุ้นของ "พาที"

ความเสี่ยงเล่นหุ้น ต่อไปต้องถอดเงื่อนไขปัจจัยแล้วเล่นง่ายขึ้น




        ความเสี่ยง....(เฉพาะการเล่นหุ้น) คือ การที่เอาเงินของเราไปซื้อหุ้น แล้วต้องขายในราคาที่ขาดทุนในเวลาต่อมา จะเห็นว่ามันมีองค์ประกอบหลายอย่าง เสียแล้ว ดังนี้
1....ต้องเอาเงิน (ไม่ใช่สิ่งของ ไม่ใช่เศษกระดาษ ไม่ใช่มูลค่าทดแทนอื่น ๆ เช่น เอาค่ารักษา ค่าแรง ฯลฯ)
2.....เป็นเงินของเรา หมายถึง เงินที่เราหามา กู้มา เรามีสิทธิ์ เป็นทรัพย์ส่วนตัวอย่างหนึ่ง (ไม่ใช่เงินคนอื่น ไม่ใช่เงินเก็บตก หรือหยิบตกมาฟรี ๆ )
3.....ไปซื้อหุ้น หมายว่าต้องซื้อหุ้น หรือสินค้าใด ๆที่ขายในตลาดหุ้น เฃ่นวอแร้นท์ หรือคัพเวอร์วอแร้นท์ (ถ้าไม่ซื้อหุ้นก็ไม่เข้าข่าย)
4.....ต้องขาย หมายความว่า ต้องขาย ถ้าไม่ขายก็ไม่นับ การขายจะมีผลตามมาคือ ได้เงินส่วนที่ขายคืนมา แต่จะเท่าส่วนที่ซื้อหรือไม่ เราจะเรียกว่า กำไร และขาดทุน ตราบเท่าที่ไม่ขาย ก็ไม่นับปิดบัญชี ไม่นับว่าเสี่ยงแล้ว แต่มูลค่าอาจดูแล้วใจหาย หรือดีใจตื่นเต้น
5.....ในเวลาต่อมา หมายความว่า ต้องหลังจากซื้อก่อน (บ้านเราไม่มีให้ขายก่อนซื้อคืนทีหลัง) จึงขายได้ จึงเกิดปัจจัยของเวลามาเกี่ยวข้อง เช่นซื้อแล้วถืออยู่ 10 วันก็ขาย ถือ 10 ปี ค่อยขาย เวลาจึงต้องนำมาคิดและมีความสำคัญมาก ๆ จนคนเล่นส่วนใหญ่ไม่สนใจ(เพราะมองข้ามมิติเวลา) ขนาดการดูกราฟทุกเครื่องมือยังต้องมีมิติเวลา มิเช่นนั้นกราฟจะวิ่งขึ้นวิ่งลงเป็นเส้นดิ่งแนวตั้ง ดูไม่รู้เรื่อง
     
  ทีนี้ก็ลองเอาองค์ประกอบความเสี่ยง มาตั้งและสร้างเงื่อนไข ก็จะเห็นคำว่า เสี่ยง ชัดเจนขึ้น เช่น
ก....เงิน เป็นของคนอื่น ก็จะรู้สึกเสี่ยงน้อยลง ยกเว้นเอาเงินของคนที่เกี่ยวข้องกับเรามาเล่น เช่น เงินของภรรยา เงินของพ่อ อย่างงี้ก็ถือว่า เอามาเสี่ยง มันให้ผลกระทบทางใจมาก ๆ แล้วก็จะเข้าสู่การทำใจ การทำจิตให้สงบสู้ความเสี่ยงไหวไม่ไหว ต่อจากนั้นก็จะสั่งให้จิตใจทำงานโดยไม่ตรองละเอียด รีบร้อนตัดสินใจ เป็นต้น
ข.....ถ้ามีเงิน แต่ไม่ซื้อ หรือขายเอากำไรแล้ว มีเงินแล้ว แต่ไม่ซื้อ ความเสี่ยงก็หายไปทันที แต่หากขายขาดทุนเอาเงินมาเก็บ แล้วไม่ซื้อ ก็รู้สึกเสี่ยงเสียโอกาส กลัวตกรถ สารพัดกลัว (เรื่องความกลัว ความกล้า วันหน้าคุยกันว่า อะไรสร้างสรร อะไรทำลาย แค่ไหน)
ค.....ซื้อแล้วก็ต้องขาย การขายมีเรื่องคิดหลายข้อ ขายแล้วขาดทุน ขายตอนไหน ขายแล้วหุ้นลงก็ดี ขายแล้วหุ้นขึ้น ทำไงดี เวลาจึงเป็นเรื่องใหญ่ เพราะมันแสดงถึงค่าของโอกาส แล้วโยงไปสู่ว่าเสี่ยงไหม แค่ไหน 


       จริงๆ คำว่าเสี่ยงมีความลึกซึ้งมากกว่านี้
การแก้ปัญหาและลดความเสี่ยง ต้องอาศัยหลายรูปแบบ ทั้งหลักการคิด กลยุทธ การตัดสินใจ การยอมรับค่าเสี่ยงที่สู้ไหว การcutloss เป็นกลยุทธ แต่คนที่ชำนาญจนทำประจำ บอกได้ว่าโอกาสเจ๊งหุ้นมีมากว่ากำไรถึง 80 -90% ทำไงจึงลดการคัดขาดทุน ให้เหลือน้อยครั้งที่สุด นั่นคือกลยุทธสำคัญ การซื้อถัวก็เป็นการลดเสี่ยง แต่ต้องมีเงินเยอะมาก การขาดทุนจากต้นทุนเดิมกี่ % ต้องใช้เงินซื้อถัว เป็นจำนวนเท่าของค่า % เช่น ใช้เงิน 10000 บาท(หนึ่งหมื่นบาท)ซื้อหุ้น ต่อมาขาดทุน 800 บาท เท่ากับขาดทุน 8 % ต้องใช้เงิน 8 เท่าของทุน เดิม (10000 คูณ 8 เท่ากับ 80000 บาท) เพื่อมาซื้อ ณ ราคาที่ขายแล้วขาดทุนน้อยมากๆ หรือไม่ขาดทุนแค่เสมอทุน ยิ่งขาดทุนมาก การใช้เงินทุนใหม่มาช่วยพยุงการซื้อถัวจะมากขึ้นทวีคุณ การลดความเสี่ยงอีกแบบคือ การใช้เวลา ตามที่คุณอยากเชือกชอบมาโพสว่า ใช้เวลาเป็นตัวละลายความเสี่ยง บางทีถือ 2 เดือนถึงเสมอทุน บางทีก็ 6 ปี แต่เวลายิ่งมากยิ่งทำร้ายจิดใจมาก สำหรับคนเงินน้อย ผมจึงไม่ค่อยสนับสนุนการถือขาดทุนรอ ๆ นาน ๆ อย่างเลื่อนลอย เป็นการฝากความหวังกับความไม่แน่นอน ปล่อยให้เวลาเป็นตัวทำงาน ยิ่งถือว่าพวกนี้คือนักพนันเวลา ยกเว้นคนที่ถือหุ้นมีกำลังแล้วยังรอให้กำไรเพิ่มต่อไป อย่างงี้เวลาจะมีค่ากว่า เวลาของการรอเสมอทุน ดังนั้นใครก็ตามที่ถือหุ้น ณ ปัจจุบันยังขาดทุน แล้วมาบอกว่าเป็นนักลงทุนนั้น ถือว่าพูดโกหกไม่จริงใจ ผมอนุโลมให้ไม่ควรถือหุ้นที่ขาดทุนต่ำเกิน 8 ช่องราคาปัจจุบัน หรือต่ำกว่าราคาทุน 4 – 5 % ไม่ว่าจะเป็นหุ้นประเภทใด เพราะต้นทุนคือ เงินธนบัตรที่มาจากกระเป๋าเรา ตอนเริ่มต้นไม่มีแบ่งธนบัตรว่า เป็นธนบัตรเพื่อการขาดทุนมาก ๆ ก่อนค่อยกำไรทีหลัง   เมื่อเรารู้ว่า ความเสี่ยงคืออะไร เราก็ต้องรีบหาวิธีลดความเสี่ยง ศึกษากลยุทธการลงมือ ศึกษาธรรมชาติของหุ้นแต่ละตัว ดูฤกษ์ยามการลงมือ (ไม่ใช่หาฤกษ์แบบหมอดู แต่ใครจะลองวิธีนั้นก็ไม่ห้าม เพราะเป็นเงินของตัวท่านเอง) timing เป็นเรื่องสำคัญพอสมควร





ลุ้นหุ้นไทยปี 2555

ตลาดหุ้นไทยปี 2555

นักวิเคราะห์หวั่นตลาดหุ้นไทยปี 2555 ผันผวนสูง
 
        ผลสำรวจนักวิเคราะห์ถึงการลงทุนในตลาดหุ้นไทยปี2555 นักวิเคราะห์ส่วนใหญ่คาดว่าดัชนีสิ้นปี55เฉลี่ยอยู่ที่ 1,130 จุด โดยดัชนีมีโอกาสไปได้สูงสุด ที่ 1,186 จุด และ ดัชนีต่ำสุดที่ 894 จุด จากที่คาดการณ์ว่าดัชนีหุ้นสิ้นปี54 จะปิดที่ 1,046 จุด
        นายสมบัติ นราวุฒิชัย เลขาธิการสมาคมนักวิเคราะห์หลักทรัพย์ เปิดเผยว่า ปัจจจัยบวกที่จะส่งผลดีต่อตลาดหุ้นมากที่สุด คือการลดภาษีนิติบุคคลเหลือ 23% ในปีหน้าและเหลือ 20% ในปี56 รองมาคือการลดอัตราดอกเบี้ยในประเทศเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจ และ ความคืบหน้าของโครงการป้องกันน้ำท่วมอย่างเป็นรูปธรรม นอกจากนี้นักวิเคราะห์ยังประเมินว่าเศรษฐกิจปี55จะเติบโตมากจากปี 54 ที่มีฐานต่ำเพราะปัญหาน้ำท่วม และผลประกอบการของบริษัทจดทะเบียนจะขยายตัวสูงขึ้น เป็นผลจากการปรับลดภาษีเงินได้นิติบุคคล


        ส่วน ปัจจัยลบที่กดดันตลาดหุ้นปีหน้า ที่มีผลมากที่สุดคือปัญหาวิกฤติหนี้ยูโรโซน รองมาคือปัจจัยเสี่ยงทางการเมืองของไทย ในเรื่องการแก้รัฐธรรมนูญ นิรโทษกรรม รวมทั้งผลกระทบต่อเนื่องจากน้ำท่วม และปัญหาหนี้และเศรษฐกิจสหรัฐฯ และคาดว่าเศรษฐกิจไทยปีหน้าจะมีการเติบโต เฉลี่ย 4.1%
"ดัชนี ตลาดหุ้นไทยปีหน้าจะมีความผันผวนสูง จากที่มีผู้มองว่าดัชนีสูงสุดปีหน้าจะไปได้ที่ 1,186 จุด และมองดัชนีต่ำสุดที่ 894 จุด โดยมีหลายปัจจัยที่มีผลต่อการแกว่งตัวของดัชนี ซึ่งปีหน้าปัจจัยลบสำคัญที่มีผลต่อตลาดหุ้นคือวิกฤติหนี้ยุโรปและสถานการณ์ การเมืองของไทย"นายสมบัติกล่าว
นายสมบัติ ยังกล่าวถึงการลงทุนของนักลงทุนกลุ่มต่างๆว่านักวิเคราะห์ประเมินว่านักลง ทุนต่างชาติจะซื้อสุทธิเฉลี่ยในปี 55 จำนวน 14,150 ล้านบาท นักลงทุนสถาบันในประเทศจะซื้อสุทธิเฉลี่ย 6,778 ล้านบาทพอร์ตลงทุนของบริษัทหลักทรัพย์ซื้อสุทธิ เฉลี่ย 3,814 ล้านบาท ซึ่งรวม 3 กลุ่มจะซื้อสุทธิรวม 24,742 ล้านบาทโดยคาดว่านักลงทุนรายย่อยปีหน้าจะเป็นผู้ขายสุทธิ


       นักวิเคราะห์คาดว่าอัตรากำไรต่อหุ้น (EPS) ในปี55ที่จะมีการขยายตัวเพิ่มขึ้นสูงสุด 3 อันดับแรก คือ กลุ่มเดินเรือ เติบโต 324.98% ซึ่งเติบโตสูงมากจากฐานในปี 54 ที่ต่ำ กลุ่มอสังหาริมทรัพย์เติบโต 28.02% และกลุ่มอาหารโต 16.03% ด้านอัตราผลตอบแทนจากเงินปันผล ปีหน้าเติบโตสูงสุดคือกลุ่มสื่อสาร ที่ 5.93% ตามด้วยกลุ่ม ชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์ โต5.32% และกลุ่มอสังหาริมทรัพย์โตได้4.88%
"ปี หน้าที่ดัชนีหุ้นจะผันผวนสูง นักลงทุนต้องเลือกจังหวะในการลงทุนให้ถูก ทยอยสะสมหุ้นที่มีปัจจัยพื้นฐานดีในช่วงที่ดัชนีปรับตัวลงและหาจังหวะขายทำ กำไร และติดตามข้อมูลข่าวสารการลงทุนอย่างใกล้ชิดโดยเน้นลงทุนในหุ้นทีมีการจ่าย ปันผลสูงและสม่ำเสมอ โดยนักวิเคราะห์แนะนำให้กระจายการลงทุน โดยลงทุนหุ้นในประเทศ 39% ลงทุนในตราสารหนี้และกองทุนตราสารหนี้ 25% ลงทุนในทองคำและโกลด์ฟิวเจอร์ส11% ลงทุนในหุ้นหรือกองทุนหุ้นต่างประเทศ8% และ ลงทุนอื่นๆ เช่นกองทุนในประเทศ กองทุนอสังหาริมทรัพย์สัญญาซื้อขายล่วงหน้า ฯลฯ








เพลงนี้.. สำหรับนักเล่นหุ้น!

คนเล่นหุ้นที่รวยที่สุดในโลก ...



         วอร์เรน บัฟเฟตต์ มีชื่อเต็มว่า วอร์เรน เอ็ดเวิร์ด บัฟเฟตต์ เขาเกิดเมื่อวันที่ 30 สิงหาคม พ.ศ. 1930 (ค.ศ. 1930) ที่เมืองโอแมฮา ในรัฐเนแบรสกา พ่อของเขาชื่อโฮเวิร์ด บัฟเฟตต์ เป็นวุฒิสมาชิกสังกัดพรรครีพับลิกัน และยังเป็น Stock Broker อีกด้วย ส่วนมารดาของเขามีชื่อว่าไลล่า บัฟเฟตต์ เขามีพี่น้องอยู่ 2 คน คือดอริส และเบอร์ตี้ วอร์เรน บัฟเฟตต์ ชอบหมกมุ่นกับตัวเลขตั้งแต่อายุยังน้อย และมีความจำอันดีเลิศ เขาสามารถจดจำจำนวนประชากรของเมืองใหญ่ในสหรัฐได้อย่างมากมาย

       ความร่ำรวยส่วนใหญ่ของเขานั้นสั่งสมในบริษัทเบิร์กเชียร์แฮทเวย์ ซึ่งมีผลกำไรหลากหลายนับจากธุรกิจการประกันภัย อสังหาริมทรัพย์ พลังงานและการเช่าเครื่องบิน และบริษัทเบอร์กไชร์ ฮาธาเวย์ ของเขาไม่มีสินค้าอะไรเลย ไม่มีการขายสินค้า ไม่มีการผลิตการบริการใดๆ รายได้จำนวนมากมายมหาศาล ทั้งหมดมาจากการลงทุนในตลาดหลักทรัพย์ ได้รับฉายาว่าเป็นนักลงทุนที่เก่งที่สุดในโลก เขาสามารถเพิ่มราคาหุ้นกองทุน Berkshire ของเขาถึง 3600 เท่า และเน้นย้ำเฉพาะการลงทุนแบบ Value Investor เท่านั้น

หุ้นของเบอร์กไชร์นั้นจดทะเบียนอยู่ในตลาดหุ้นนิวยอร์ก และเป็นหุ้นตัวใหญ่ที่แปลกประหลาด นอกจากไม่มีการผลิตสินค้าและบริการใดๆ เลย ซื้อขายหุ้นอย่างเดียว ยังเป็นหุ้นที่ไม่เคยมีการจ่ายปันผลมาหลายสิบปี ทั้งๆ ที่มีกำไรมหาศาลทุกปี ทำให้บริษัทมีสินทรัพย์มากขึ้นเรื่อยๆ ราคาหุ้นของเบอร์กไชร์ทะลุหลักล้านบาทไปแล้ว คนที่ถือหุ้นบริษัทเขาตั้งแต่วันแรก ก็ยังถือมาจนถึงปัจจุบัน พวกเขาเชื่อในตัวบัฟเฟตต์มากๆ หุ้นบริษัทเขาจึงมีสภาพคล่องต่ำมาก ซึ่งเป็นผลดีกับกิจการ เนื่องจากจะไม่มีคนที่เล่นหุ้นวันต่อวันมาป่วนราคา บริษัทของเขาจะเลือกลงทุนในหุ้นในกิจการที่เยี่ยมยอดเพียงไม่กี่ตัว โดยซื้อเมื่อตอนราคาถูกและยุติธรรม แล้วเก็บไว้ให้นานที่สุด หรือเก็บไปตลอดชีวิตเลย

สำหรับพอร์ทการลงทุนของเขาจะมีแต่กิจการที่ดีของโลก เช่น บริษัทโค้ก ยิลเลท ดิสนีย์แลนด์ เป็นต้น หุ้นที่เขาจะซื้อ จะต้องมีพื้นฐานกิจการที่ดี และเขาจะต้องรู้จักและเข้าใจว่ากิจการสามารถสร้างรายได้มาได้อย่างไร เพราะฉะนั้น หุ้นกลุ่มไฮเทค จะไม่ได้รับความสนใจจากเขาเลย แม้แต่ไมโครซอฟต์ เพราะเขาบอกว่า ถ้าเขาไม่รู้ว่าอีก 5-10 ปีข้างหน้า บริษัทนั้นจะเป็นอย่างไร เขาก็จะไม่ซื้อหุ้นบริษัทนั้น ซึ่งหุ้นไฮเทคจะมีการเปลี่ยนแปลงที่เร็วมาก จึงไม่อยู่ในข่ายลงทุน

สิ่งที่บัฟเฟตต์ยึดถือในการลงทุน นอกจากคุณค่าของกิจการแล้วคือ ผู้บริหารต้องมีความซื่อสัตย์ ยึดผลประโยชน์ของผู้ถือหุ้นรายย่อยเป็นหลัก ฉะนั้นการบริหารงานของบัฟเฟตต์จึงทำอย่างโปร่งใส และยึดถือประโยชน์ของทุกคนเป็นที่ตั้ง เขาไม่เคยเอาเปรียบผู้ถือหุ้นรายย่อยแม้แต่เรื่องเล็กๆ น้อยๆ เช่นการบริจาคเงินของบริษัท

หลักการเลือกลงทุนของ วอร์เรน บัฟเฟตต์:
1. เป็นธุรกิจหรือบริษัทที่ไม่ซับซ้อน กิจการประเภทง่ายๆ ไม่วุ่นวายนี้ จะสามารถบริหารจัดการได้อย่างง่ายๆ ไม่ต้องใช้เทคนิคบุคคลากรพิเศษมากมายนัก
2. เป็นธุรกิจที่ได้รับความนิยมแข็งแกร่ง เช่นมียี่ห้อหรือตราสินค้าที่แข็งแกร่ง มีการบริการเป็นพิเศษที่หาจากที่อื่นไม่ได้
3. สามารถคาดเดาได้ คือสามารถคาดเดาผลการดำเนินงานได้ค่อนข้างแน่นอน เนื่องจากการที่ไม่ซับซ้อนของธุรกิจนี่เอง
4. ผลตอบแทนจากส่วนของเงินลงทุนสูง (ROE) อย่างน้อย 12 %
5. มีกระแสเงินสดที่ดี
6. มีผู้บริหารที่ดี เห็นแก่ผลตอบแทนของผู้ถือหุ้นเป็นสำคัญ ธุรกิจที่ดี มีธรรมชาติของธุรกิจที่ดี

จากการศึกษาวอร์เรน บัฟเฟตต์ เขาให้ความสนใจลงทุนในธุรกิจ 5 กลุ่มด้วยกัน คือ
1) ธุรกิจเครื่องดื่ม เช่น โค้ก
2) กลุ่มการเงินที่เกี่ยวกับรายย่อย เช่น บริษัทอเมริกันเอ็กเพรส
3) กลุ่มสินค้าอุปโภคบริโภค
4) กลุ่มธนาคารพาณิชย์ เช่น ธนาคารของแคลิฟอร์เนีย
5) หนังสือพิมพ์วอชิงตันโพสต์
 


จับกระแสหุ้น 27 มี.ค.55 ( หุ้นล่าสุดที่เกิดขึ้นในขณะนี้ )

ข่าว หุ้นไทยวันนี้ ( 3 เมษายน 2555 )

หุ้นไทยวันนี้เคลื่อนตัวไม่มาก วอลุ่มเทรดหุ้นเริ่มเบาบาง ระวังเเรงเทขายทำกำไรยังมี



โบรกฯ ประเมินหุ้นไทย วอลุ่มซื้อขายเริ่มเบาเพราะเริ่มเข้าสู่เทศกาลวันหยุดยาว ชี้แนวโน้มตลาดยังอยู่ในเชิงบวกจากตัวเลขเศรษฐกิจที่ปรับตัวดีขึ้นของตลาดต่างประเทศ แต่ยังต้องระวังแรงเทขายทำกำไร คาดดัชนีเคลื่อนไหวไม่แรง กรอบอยู่ที่ 1,195-1,207 จุด      

       บล.ฟิลลิป (ประเทศไทย) ให้แนวโน้มการลงทุนหุ้นไทยช่วงเช้าวันนี้ (3เม.ย.) โดยยังคงกลยุทธ์การลงทุนเดิม คือ “ขึ้นขาย ลงซื้อ” กับภาพแนวโน้มตลาด : เทรดต่อในกรอบ Sideways
      
       ทั้งนี้ ฟิลลิป ประเมินว่า แม้บรรยากาศลงทุนในภูมิภาคเช้านี้จะอิงทางบวกได้จากตัวเลขภาคการผลิตที่สดใสของสหรัฐฯ และจีน ส่งผลให้ตลาดหุ้น และสินค้าโภคภัณฑ์ดีดตัวได้ดี แต่คาดวันนี้ตลาดหุ้นไทยจะยังเทรดกันต่อในกรอบ Sideways ระหว่าง 1,195-1,207 ขณะที่วอลุ่มการซื้อขายดูเหมือนจะเบาบางลง ก่อนที่ไทยจะเข้าสู่ช่วงวันหยุดยาวหลายช่วงติดกัน ขณะที่หลายประเทศก็มีวันหยุดยาวในช่วงกลางสัปดาห์เป็นต้นไปเช่นกัน โดยในวันนี้ ตลาดหุ้นจีนยังปิดทำการต่อ
      
       สำหรับแรงซื้อต่างชาติวานนี้เริ่มลดลงอย่างเห็นได้ชัด แต่ไปขายหนักในตลาดอนุพันธ์ ส่วนค่าเงินบาทเช้านี้ (7.45 น.) ทรงตัวแถว 30.80 บาท/ดอลลาร์ จึงน่าระวังแรงขายทำกำไรที่จะสลับออกมาระหว่างทาง ซึ่งหากมีแรงขายมากอาจหลุดลงไปถึงแนวรับถัดไปที่ 1,187 ได้
      
       กลยุทธ์การลงทุน : เก็งกำไรแบบ “ขึ้นขาย ลงซื้อ” แบบระมัดระวังมากขึ้น
      
       แนวต้าน : 1,202-1,207 แนวรับ : 1,195-1,187
      
       วิเคราะห์รายวัน
      
       BCP : ทยอยซื้อ คาดกำไรสุทธิ 1Q55 เพิ่มขึ้น 27.5%y-y
      
       คาดกำไรสุทธิ 1Q55 เพิ่มขึ้น 27.5% y-y, 224% q-q แนวโน้มกำไรใน 2Q55 ชะลอตัว เนื่องจากมีปิดซ่อมบำรุง คงคำแนะนำ “ทยอยซื้อ” ราคาพื้นฐานปี 2555 ที่ 26 บาท
      
       MK : ถือ ยอดจอง 2M55 ฟื้นตัวได้ดี
      
       ยอดจองบ้าน 2M55 ฟื้นตัวกลับมาได้ดี รายได้ปีนี้ผลักดันกำไรเติบโตสูงจากปีก่อน 48% อัตราการเติบโตยังไปได้ดี ราคาหุ้นยังมี Upside ไม่มาก คงคำแนะนำ “ถือ” ราคาพื้นฐาน 2.50 บาท




โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์  09:40 น.