วันพฤหัสบดีที่ 29 มีนาคม พ.ศ. 2555

เทคนิคการซื้อขายหุ้นแบบเหนือตลาด

ทางการลงทุนในหุ้นให้ประสบผลสำเร็จ (สำหรับมือใหม่)

1.ต้องมีความรู้ต้องศึกษาความรู้ทางด้านการลงทุนอย่างต่อเนื่อง ต้องศึกษาแนวทางการลงทุนในทุกแนวทางที่คุณสามารถหาอ่านได้ ซึ่งจะทำให้คุณมองเห็นข้อดี ข้อเสีย และมองเห็นหลักการที่เหมาะสมกับตนเอง และเมื่อลงมือปฏิบัติก็ควรให้ความยืดหยุ่นกับหลักการที่ได้สั่งสมมาให้เหมาะสมกับภาวะการณ์ที่เกิดขึ้น ... การเรียนรู้จากข้อผิดพลาดของตนเองและเรียนรู้จากประสบการณ์ของผู้ที่ประสบผลสำเร็จและล้มเหลวจะช่วยให้คุณมีมุมมองที่กว้างขึ้น

2.ต้องมีเงินลงทุนเงินลงทุนเป็นเงื่อนไขที่สำคัญที่ส่งผลต่อแผนการลงทุนเป็นอย่างยิ่ง เช่น ถ้ามีเงินลงทุนน้อย การปรับเปลี่ยนพอร์ตฯ ก็เป็นเรื่องง่าย แต่ถ้าไม่มีเงินเลยก็ต้องบังคับให้ไปเล่นในเงื่อนไขที่ยากขึ้น ซึ่งก็เสี่ยงสูง, สำหรับผู้ที่มีเงินลงทุนค่อนข้างเยอะ การเข้าซื้อขาย การปรับเปลี่ยนพอร์ตฯ จะยากขึ้นตามจำนวนเงินลงทุนกับสภาพคล่องของปริมาณการซื้อขายต่อวันหรือต่อหุ้นของบริษัทนั้นๆ... ควรระลึกไว้เสมอว่า ไม่มีใครสามารถล่วงรู้อนาคตได้ ดังนั้นการวางแผนเพื่อเตรียมรับมือกับสถานการณ์ในอนาคตย่อมทำให้คุณได้เปรียบกว่า

3.ต้องมีเวลาติดตามการลงทุนไม่มีการลงทุนในกิจการใด ที่คุณลงทุนไปแล้วไม่ต้องติดตามผลการลงทุนแล้วคุณจะได้ผลตอบแทนที่ดีได้ตามที่หวังไว้คุณต้องให้เวลาในการลงทุนให้เหมือนหรือเทียบเท่ากับการเปิดกิจการของตนเอง...ผลลัพธ์จากการลงทุนเหมือนเป็นตัวสะท้อนความพยายามที่คุณให้กับมัน อย่าลืมว่าคุณกำลังลงทุนให้กับตัวเองและครอบครัว

4.ต้องรู้จักบริหารจัดการเงินลงทุนให้เหมาะสมกับเวลาและเป้าหมายการลงทุนที่คุณได้วางแผนไว้ณ ที่นี้จะหมายถึงให้นำข้อ 1 ถึง 3 มารวมเข้าด้วยกัน และบริหารจัดการให้เหมาะสม หรืออาจพูดง่ายๆ ก็คือต้อง ถูกที่ ถูกเวลา และให้เหมาะสมกับพอร์ตฯ การลงทุน ความรู้ และประสบการณ์ที่มีอยู่ในขณะนั้น>>> สิ่งที่อยากจะบอกก็คือ แผนการลงทุนจะแบ่งออกเป็นกี่แบบก็ตาม แผนการลงทุนดังกล่าวควรสอดคล้องกับเป้าหมายของตัวคุณเอง

เช่น เป้าหมายของการลงทุนของคุณก็คือ ต้องการมีอิสระภาพทางการเงิน
ดังนั้น แผนการลงทุน...อาจแบ่งออกเป็นแผนการลงทุนระยะสั้น เทรดแบบเก็งกำไร และนำกำไรที่ได้ไปซื้อหุ้นต้นทุนเป็นศูนย์เพื่อรับปันผล (ในแผนการลงทุนระยะยาว) และเมื่อพอร์ตฯ ขยายใหญ่ขึ้น คุณก็จะสามารถรับปันผลจากหุ้นต้นทุนเป็นศูนย์ได้มากพอกับรายจ่าย ซึ่งจะส่งผลให้คุณมีอิสระภาพทางการเงินในที่สุด (ตามเป้าหมายของการลงทุนที่ได้วางไว้



ที่มา: tasimplified.com

คุยเรื่องหุ้น

หุ้นคืออะไร

หุ้นคืออะไร




หุ้นคือ
ตราสารที่ออกโดยบริษัท ห้างหุ้นส่วน หรือ สหกรณ์ หุ้นมีหลายชนิด คือ
หุ้นทุนหรือหุ้นสามัญ (Common Stock) คือหน่วยของความเป็นเจ้าของ ในบริษัท สหกรณ์ หรือกิจการอื่นที่ระบุให้แบ่งหน่วยความเป็นเจ้าของเป็นหุ้นตามสัดส่วนจำนวนหุ้นที่มีถืออยู่ ผู้ถือหุ้นจะมีสิทธิ์ออกเสียงในการประชุมผู้ถือหุ้นได้มากเท่ากับสัดส่วนของหุ้นที่ถือ ถ้าผู้ถือหุ้นคนใดถือหุ้นเกินกว่าครึ่งหนึ่งของจำนวนหุ้นที่กิจการออกทั้งหมด จะมีสิทธิ์ตั้งฝ่ายจัดการของกิจการได้ หุ้นบุริมสิทธิ์ (Preferred Stock) คือหุ้นที่มีความเป็นเจ้าของ ผสมกับความเป็นเจ้าหนี้ด้วย โดยที่ถ้าบริษัทนั้นๆต้องเลิกกิจการลง ผู้ถือหุ้นบุริมสิทธิ์จะได้รับส่วนแบ่งก่อนผู้ถือหุ้นสามัญ หุ้นกู้ (Debenture) คือตราสารที่กิจการออกเพื่อเป็นการกู้ยืมเงินมาใช้ในกิจการ โดยจ่ายดอกเบี้ยให้กับผู้ถือหุ้นเป็นผลตอบแทน กรณีที่เลิกกิจการผู้ถือหุ้นกู้จะได้รับเงินที่ลงทุนในหุ้นกู้คืนก่อน เนื่องจากเป็นเจ้าหนี้ของกิจการ ปัจจุบันเราสามารถซี้อขายหุ้นที่มีในมือได้จากตลาดหลักทรัพย์ โดยต้องเปิดบัญชีซื้อขายหลักทรัพย์กับตัวแทนที่เป็นบริษัทหลักทรัพย์ก่อน


ตลาดหุ้น
หรือ ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย คือ ตลาดซึ่งเป็นแหล่งรวมของบริษัทหลายๆ บริษัท ที่เข้ามาทำการจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ เพื่อให้ผู้ที่มีเงินเหลือเก็บ ซึ่งเราเรียกว่า "นักลงทุน" เข้ามาร่วมลงทุน และนักลงทุนเหล่านั้นก็จะเป็นหนึ่งในผู้ร่วมถือหุ้นของบริษัท หรือร่วมเป็นเจ้าของในบริษัทนั้นๆ การลงทุนในตลาดหุ้นจึงเป็นทางเลือกเพื่อการออมเงินในระยะยาวที่ผู้ออมสามารถหลีกเลี่ยง หรือป้องกันการขาดทุนที่เกิดจากระดับอัตราเงินเฟ้อได้ ตลาดหลักทรัพย์จัดตั้งขึ้นภายใต้พระราชบัญญัติตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย พ.ศ. 2517 โดยมีวัตถุประสงค์ เพื่อจัดให้มีแหล่งกลางสำหรับการซื้อ ขาย หลักทรัพย์ เพื่อส่งเสริมการออมทรัพย์ และเพื่อการระดมเงินทุนในประเทศ โดยได้เปิดให้มีการซื้อขายขึ้นอย่างเป็นทางการในวันที่ 30 เมษายน พ.ศ. 2518 โดยชื่อภาษาอังกฤษในขณะนั้นคือ "Securities Exchange of Thailand" และได้มีการเปลี่ยนชื่อภาษาอังกฤษเป็น "The Stock Exchange of Thailand (SET)" เมื่อวันที่ 1 มกราคม พ.ศ. 2534 เป็นต้นมา

สำหรับการทำหน้าที่เป็นศูนย์กลางการซื้อขายหลักทรัพย์ และสนับสนุนการระดมเงินทุนระยะยาวของธุรกิจนั้น สามารถจำแนกออกได้ตามขนาดของธุรกิจที่ต้องการจะระดมทุน หรือ บริษัทจดทะเบียน โดยตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย ทำหน้าที่สนับสนุนการระดมทุนในตลาดทุนของธุรกิจที่มีขนาดใหญ่ กิจการสาธารณูปโภค และรัฐวิสาหกิจที่มีการแปรรูป ซึ่งมีทุนชำระแล้วตั่งแต่ 200 ล้านบาท ขึ้นไป รวมทั้งเป็นศูนกลางการซื้อขายเปลี่ยนมือหลักทรัพย์ของบริษัทดังกล่าว ในขณะที่ ตลาดหลักทรัพย์ใหม่ ซึ่งจัดตั้งขึ้นเมื่อปี 2528 ทำหน้าที่สนับสนุนการระดมทุนในตลาดทุนของธุรกิจขนาดกลางและขนาดย่อมที่มีศักยภาพ หรือ SMEs ที่มีทุนชำระแล้วต่ำกว่า 200 ล้านบาท และเป็นศูนกลางการซื้อขายเปลี่ยนมือหลักทรัพย์ของธุรกิจขนาดกลางและขนาดย่อมดังกล่าว โดยเริ่มเปิดการซื้อขายหลักทรัพย์เมื่อวันที่ 17 กันยายน พ.ศ. 2544


หุ้น คืออะไร?
หลังจากได้ทราบว่า ตลาดหุ้นคืออะไร มีวัตถุประสงค์และหน้าที่อย่างไรแล้วนั้น ต่อไปเราจะมาดูว่า ตลาดแห่งนี้มีสินค้าอะไรบ้าง ซึ่งสินค้าของตลาดหุ้นก็คือ หุ้น นั่นเอง ซึ่งสินค้าก็จะมีหลากหลายแบ่งแยกตามประเภทของสินค้า และตามความสนใจของนักลงทุน จริงๆแล้ว สินค้าเหล่านี้ คงจะเคยผ่านสายตาใครหลายๆคนมาแล้ว ตามสื่อโทรทัศน์ ซึ่งจะมีตัวอักษรย่อภาษาอังกฤษต่างๆ วิ่งผ่านทางหน้าจอ โดยอักษรเหล่านั้นจะเป็นตัวย่อของบริษัท ยกตัวอย่างเช่น MCOT ย่อมาจาก บริษัท อสมท. จำกัด (มหาชน) เป็นต้น ซึ่งสินค้าในตลาดหลักทรัพย์ เราเรียกโดยรวมว่า "ตราสาร" หมายถึง เอกสารทางการเงินที่บริษัทผู้ออกหลักทรัพย์ออกมาเพื่อระดมเงินทุน จากผู้ลงทุน และเปิดให้มีการซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์ ซึ่งมีอยู่หลายประเภท ดังนี้
1) หุ้นสามัญ (Common Stock)คือหุ้นที่นักลงทุนส่วนใหญ่ในตลาดซื้อขายกันอยู่ และมีจำนวนมากกว่า 80% ของหุ้นในตลาดทั้งหมด โดยหุ้นสามัญนี้เป็นตราสารประเภท หุ้นทุน ซึ่งออกโดยบริษัทมหาชนจำกัด ที่ต้องการระดมเงินทุนจากประชาชน เพื่อให้ประชาชนได้เข้าไปมีส่วนร่วมเป็นเจ้าของในธุรกิจนั้นๆ โดยตรง เช่น การมีสิทธิในการลงคะแนนเสียง ร่วมตัดสินในปัญหาสำคัญในที่ประชุมผู้ถือหุ้น โดยผลตอบแทนที่คุณจะได้โดยตรงก็คือ เงินปันผลจากกำไรในธุรกิจ กำไรจากการขายหุ้นถ้าหุ้นปรับตัวขึ้น และสิทธิในการจองซื้อหุ้นใหม่ ในกรณีที่มีการเพิ่มทุนจดทะเบียน

2) หุ้นบุริมสิทธิ (Preferred Stock)เป็นตราสารประเภทหุ้นทุน มีข้อแตกต่างจากหุ้นสามัญ คือ ผู้ถือหุ้นบุริมสิทธิจะได้รับชำระคืนเงินทุนก่อนผู้ถือหุ้นสามัญ ในกรณีที่บริษัทเลิกกิจการ หุ้นประเภทนี้มีไม่มากนักในตลาดหลักทรัพย์ มีการซื้อขายกันน้อย มีสภาพคล่องต่ำ บนกระดานหุ้นจะสังเกตุได้จาก -P เช่น SCB-P, TISCO -P เป็นต้น
3) หุ้นกู้ (Debenture)เป็นตราสารที่บริษัทเอกชนออกเพื่อกู้เงินระยะยาวจากผู้ลงทุน โดยผู้ลงทุนจะมีฐานะเป็นเจ้าหนี้ของกิจการบริษัท และบริษัทจะต้องจ่ายผลตอบแทนเป็นอัตราดอกเบี้ยให้แก่ผู้ถือตามระยะเวลา และอัตราที่กำหนด โดยผู้ถือจะได้รับเงินต้นคืนครบถ้วน เมื่อสิ้นอายุตามระบุในเอกสาร ตลาดหุ้นกู้มักมีสภาพคล่องในการซื้อขายไม่มากนัก ส่วนใหญ่ซื้อขายโดย ผู้ลงทุนประเภทสถาบัน หรือผู้ลงทุนระยะยาว
4) หุ้นกู้แปลงสภาพ (Convertible Debenture)หุ้นกู้แปลงสภาพ คล้ายคลึงกับ หุ้นกู้ แต่แตกต่างกันตรงที่ หุ้นกู้แปลงสภาพมีสิทธิที่จะแปลงสภาพเป็นหุ้นสามัญ ในช่วงเวลาอัตราและราคาที่กำหนดในหนังสือชี้ชวน ในช่วงที่เศรษฐกิจดี หุ้นประเภทนี้ได้รับความนิยมมาก เพราะผู้ซื้อคาดหวังผลตอบแทน ได้จากราคาหุ้นเมื่อแปลงสภาพแล้ว ซึ่งจะทำให้ได้กำไรมากกว่า ผลตอบแทนในรูปของดอกเบี้ยของหุ้นกู้ธรรมดา

5) ใบสำคัญแสดงสิทธิ (Warrant)เป็นตราสารที่ระบุว่าผู้ถือครองจะได้รับสิทธิจองซื้อ หุ้นสามัญ หุ้นบุริมสิทธิ หุ้นกู้ หรือตราสารอนุพันธ์ ในราคาที่กำหนดเมื่อถึงระยะเวลาที่ระบุไว้ ใบสำคัญแสดงสิทธิ มักจะออกควบคู่กับการเพิ่มทุน

6) ใบสำคัญแสดงสิทธิระยะสั้น (Short - Term Warrant)ใบสำคัญแสดงสิทธิชนิดนี้จะมีอายุไม่เกิน 2 เดือน และเป็นทางเลือกหนึ่งจากการระดมทุนจากผู้ถือหุ้น แทนการจัดสรรสิทธิในการจองซื้อหุ้น และบริษัทผู้ออกหลักทรัพย์สามารถยืนคำขอให้รับเป็นหลักทรัพย์ประเภทที่ซื้อขายหมุนเวียนในตลาดหลักทรัพย์ได้

7) ใบสำคัญแสดงสิทธอนุพันธ์ (Derivative Warrant : DW)เป็นตราสารที่มีลักษณะคล้ายคลึงกับ ใบสำคัญแสดงสิทธิทั่วไป โดยจะให้สิทธิแก่ผู้ถือ DW ในการซื้อหรือขายหลักทรัพย์อ้างอิง ซึ่งอาจเป็นหลักทรัพย์ หรือดัชนีหลักทรัพย์ ในราคาใช้สิทธิ อัตราการใช้สิทธิ และระยะเวลาใช้สิทธิที่กำหนดไว้ โดยบริษัทผู้ออก DW เป็นหลักทรัพย์ หรือ เงินสดก็ได้

8) หน่วยลงทุน (Unit Trust)คือ ตราสารที่ออกโดย บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุนรวม (บลจ.) ในรูปของหน่วยลงทุนของกองทุนรวม ซึ่งเป็นรูปแบบหนึ่งของการระดมเงินทุนจากประชาชน โดย บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุนรวมจะเป็นผู้บริหารกองทุนให้ได้รับผลตอบแทนสูงสุด แล้วนำมาเฉลี่ยคืนให้แก่ผู้ถือหน่วยลงทุนในรูปของเงินปันผล ข้อดีของการลงทุนประเภทนี้คือ จะมีผู้บริหารมืออาชีพดูแลเงินแทนเรา มีการกระจายความเสี่ยงโดยการลงทุนในหุ้นกลุ่มต่างๆ และมีอำนาจต่อรองที่มากกว่า เพราะเป็นกองทุนขนาดใหญ่


พื้นฐานการลงทุนในหุ้น

5 เหตุผลที่คุณควรลงทุนในหุ้น 

1. โอกาสการเป็นเจ้าของธุรกิจ ที่ลงทุนด้วยเงินจำนวนไม่มาก การซื้อหุ้นเหมือนเราได้มีส่วนความเป็นเจ้าของ แต่ไม่ได้บริหารกิจการ ได้รับแค่ส่วนแบ่งจากเงินปันผล ซึ่งข้อดีคือลงทุนเท่าไรก็ได้ตามขั้นตำ่ของการซื้อหุ้น คือ 100 share ต่อครั้ง ส่วนเงินลงทุนตำ่สุด ขึ้นกับราคาหุ้น​ ณ​เวลานั้นว่าเท่าไร

2.ผลตอบแทนที่เลือกได้ เดิมเราจะได้รับเงินตอบแทนจากการฝากธนาคาร ซึ่งวันนี้ดอกเบี้ยเกือบ 0% ไม่มีรายรับจากดอกเบี้ยอีกแล้ว การซื้อหุ้นที่มีเงินปันผลมากกว่า 10% จึงเป็นการลงทุนที่ดีทางหนึ่ง

3. มูลค่าเพิ่มจากราคาหุ้น ซึ่งการลงทุนส่วนใหญ่ถ้ามีการเลือกจังหวะในการซื้อให้เหมาะสม จะได้กำไรจากราคาหุ้นค่อนข้างสูงอย่างน้อยมากกว่า 30% หรือบางตัวให้เกิน 100 % เช่น PTT, BANPU, TTA ซึ่งเงินฝากไม่สามารถให้ได้

4. หุ้นสามารถเปลี่ยนเป็นเงินสดได้ทันที การลงทุนในหุ้นจะช่วยให้คุณอุ่นใจตลอดเวลา ว่าเงินในหุ้นสามารถเปลี่ยนเป็นเงินสดได้ภายในสามวัน ซึ่งดีกว่าทรัพย์สินตัวอื่นๆ เช่น อสังหาริมทรัพย์ เมื่อเราต้องการใช้เงิน หุ้นจึงสามารถช่วยแก้สถานการณ์ให้ได้

5. มีสิทธิ์เข้าประชุมสามัญผู้ถือหุ้นประจำปี เมื่อเราซื้อหุ้นไม่ว่าจะ 100 หุ้นหรือ 1,000,000 หุ้น ก็มีสิทธิ์เข้าประชุมสามัญ ซึ่งจะจัดปีละครั้ง ทำให้เราได้พบกับผู้บริหารของบริษัทแบบครบองค์ ที่สำคัญปัจจุบันทุกบริษัทจะมีการแจกของที่ระลึกซึ่งหาซื้อไม่ได้ อาจจะเป็นการสะสมของได้อย่างหนึ่งครับ มีอาหารเลี้ยงอย่างดี